ขอบคุณที่(เกือบ)อกหัก

นอกเรื่องแฟชั่นซักวัน ก็เมื่อวันศุกร์ วันมาฆบูชา เราได้ไปบวชเนกขัมมะที่วัดพระราม9อย่างที่ตั้งใจไว้ ด้วยเพราะห่างวัดมานานเต็มที แถมช่วงหลังสติก็ไม่ค่อยมี โอเค สำหรับคนที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เนกขัมมะ ก็คือการบวชชีพราหมณ์ อะไรประมาณนั้น ตั้งแต่เช้าจนเย็นที่วัด กิจกรรมก็มีสวดมนต์ทำวัตรเช้า ฟังเทศน์ ช่วงบ่ายก็กลับมาฟังเทศน์ ทำวัตรเย็น แล้วลาสิกขาช่วง5โมงเย็น ซึ่งตลอดวันจะรับศีล8จากพระท่าน เราไม่ค่อยอินกับพิธีกรรมอะไรมาก แต่ไปเพื่อถือโอกาสนั่งปฏิบัติภาวนา เพราะอยู่บ้านมักขี้เกียจ เราว่ามันก็เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปปฏิบัติหลายๆวัน ที่พอมีพื้นฐานบ้างแล้ว
ตั้งใจไว้ว่าจะอยู่เงียบๆ ไม่คุยกับใคร แต่ก็อย่างว่านะ ตอนเย็นก็เจอคุณป้าข้างๆ สัมภาษณ์ ไปหนึ่งดอก "ว่าที่เข้าวัดเนี่ย เพราะอกหักเหรอหนู" เราก็แบบว่าเอิ่มม ทำไมคนถึงชอบคิดว่า ผู้หญิงเข้าวัดต้องเพราะอกหักด้วย[ฟะ]???? แต่นึกไปนึกมา สำหรับเรามันก็มีสาเหตุมาจากการมีปัญหาความรักนิดๆล่ะ คือช่วงที่วุ่นวายกับความสัมพันธ์ครั้งแรก เมื่อสองปีที่แล้ว มันทำให้เราปั่นป่วนมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คือเริ่มจากความคาดหวังล้วนๆเลยที่ทำให้เกิดป้ญหา ซึ่งไอ้เจ้าความคาดหวังเนี่ยแหล่ะมันเพิ่มปริมาณและระดับขึ้นเรื่อยๆจนน่าตกใจ จนในวันหนึ่ง ที่เราได้รับรู้บางอย่างที่เค้าไปพูดกับคนอื่นถึงเราลับหลัง มันทำให้โลกสีชมพูตุ่นๆมันมืดไปทันตา โอเคไม่ได้เจ็บมากมายเพราะมันยังไม่ใช่ความรัก แต่ก็นะ โชคดีที่คนๆนั้นเคยพาเราเข้าวัดฟังธรรมบ้าง เราก็สนใจอ่านหนังสือธรรมะมาบ้างพอสมควร มันเหมือนคนป่วยมาระยะหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จนถึงตอนนั้นแหล่ะที่ต้องไปหาหมอทางใจแล้ว คือก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าชีวิตมันว่างเปล่ากลวงๆมาได้ระยะหนึ่งแล้วล่ะ เรามีทุกอย่างที่อยากได้แล้ว แต่แล้วไง(วะ) ไม่เห็นมันจะรู้สึกเต็มสักที เลยตัดสินใจสมัครไปปฏิบัติที่ โกเอ็นก้า ศูนย์ปราจีนบุรี ทั้งๆที่ดูตารางเวลาแล้ว ตรูตายแน่ๆ คือนั่งปฏิบัติตั้งแต่เช้ายันคำ่ ไม่มีอย่างอื่นเลย แต่ต้องฮึดแล้วล่ะ
ช่วงสิบวันที่ไป เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับตัวเรา จิตใจของเราอย่างที่ไม่เคยตระหนักรู้มาก่อนในชั่วชีวิต เราเรียนรู้ว่าเปลือกนอกที่คนอื่นว่าเราเป็นคนดี นิสัยดี น่ารักน่ะ ข้างในทั้งเป็นคนขี้อิจฉา ดูถูกคนอื่น คิดมุ่งร้ายคนอื่น เอาแต่ใจตัวเองได้อย่างน่าตกใจ  และที่ร้ายที่สุดคือ การยึดเอาตัวตนของเราว่าเราเก่ง เราดีกว่าคนอื่นนี่แหล่ะ มันเป็นแค่เปลือกที่เราสะสมมาตลอดชีวิตเท่านั้นเอง แท้จริงแล้วตัวเรามันไม่มีอยู่และไม่เคยมีอยู่ด้วยซำ้ไป การเลี้ยงดู สังคมที่เติบโตมามันค่อยๆประกอบภาพลวงตาของความเป็นตัวเป็นตนของเราทั้งนั้น วันที่เราเห็นความจริงอันนี้ มันเหมือนมองโลกด้วยดวงตาคู่ใหม่ที่เห็นความเป็นจริงของชีวิตชัดขึ้นกว่าเดิมเลยนะ แถมอีกอย่างคือเรานี่แหล่ะสาเหตุแห่งความทุกข์เลย ไอ้นิสัยเก็บมาคิด แค้นเคือง อยู่เรื่อยๆนี่แหล่ะมันเป็นตัวเพาะเชื้อนิสัยขี้โกรธให้มากขึ้นๆ โดยไม่รู้ตัว

จากวันนั้นจนถึงวันนี้เราได้ไปปฏิบัติมาแล้ว2คอร์ส เป็นธรรมบริกร1คอร์ส ชีวิตมีความสุข แบบเต็มในใจจริงๆอย่างที่รู้แล้วว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตคืออะไร จะไปถึงเมื่อไหร่คงขึ้นอยู่กับความเพียรของเราเอง(แอบขี้เกียจช่วงนี้) เรารู้ว่าความสุขมันไม่ได้มากับวัตถุ หรือคนใดคนหนึ่ง ถ้าใจเราเองมันไม่เต็ม ไม่พอ ต่อให้มีเงินร้อยล้าน สามีสุดประเสริฐ ยังงัยมันก็ไม่มีความสุขได้หรอก

ทุกวันนี้เรารู้สึกโชคดีมากที่ อกเกือบหักในวันนั้น ที่ทำให้เราได้เจอครูบาอาจารย์แสนประเสริฐหลายๆท่าน ที่ทำให้เราได้รู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมาเป็นคนในศาสนาพุทธ ได้รู้วิธีที่จะไปถึงการเป็นคนที่เต็มคนจริงๆ ที่มีความสุขจากภายใน(แอบจากภายนอกแบบมีสติบ้างไม่มีบ้างเป็นบางเวลา) ขอบคุณที่ทำให้เราเอาตัวรอดมาจากเหตุการณ์วิกฤติในชีวิตมาได้อย่างราบรื่น และไม่ยึดติดกับชีวิตเก่าๆ ขอบคุณคนๆนั้น สำหรับเราวันนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้คุยกันแล้ว ก็ขอให้เค้าเจริญในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป

ก็น่าจะตอบคุณป้าได้ด้วยความภาคภูมิใจ ว่าใช่ค่ะ หนูเข้าวัดเพราะอกเกือบหัก จริง

Comments

  1. โดนจริง โดนจัง อยากปฎิบัติได้อย่างน้องจิ็จัง

    ReplyDelete
  2. แฟนพันธุ์แท้จริงไรจริง

    ReplyDelete
  3. โอ้ว อนุโมทนามากๆเจี๊ยบ อะไรที่เขียนมาจากใจ อ่านแล้วมันจับใจดีจริงๆ

    ReplyDelete

Post a Comment

Popular Posts